บทความนี้จะสรุปเทคนิคในการดีไชน์รูป Facebook Cover ซึ่งผมได้อ่านมาจาก Hubspot.com นะครับ ขอเตือนว่ามันไม่ใช่กฎนะครับ จะต้องนำไปปรับใช้ตามความเหมาะสมครับ ซึ่งมีหลายข้อที่น่าสนใจมากและเป็นแนวทางในการดีไชน์ได้ดีครับ เอาล่ะมาเริ่มกันเลย
1. ขนาดรูป Cover ควรมีขนาด 851 x 315 pixel นี่เป็นข้อมูลทางเทคนิคที่จำเป็นต้องตั้งขนาดรูปเท่านี้ครับ อันนี้ควรเป็นกฎไว้ใช้เลยนะครับ ส่วนตรงไหนคือรูป Cover ก็ดูรูปข้างล่างเอานะครับ
2. กฎข้อความ 20% ความหมายคือ ข้อความในรูป Cover ไม่ควรมีมากกว่า 20 % ของรูปทั้งรูป มันชื่อว่ากฎก็จริง แต่จริง ๆ มันเป็นเทคนิคทางจิตวิทยานะครับ ไม่จำเป็นต้อง 20% เป๊ะ ๆ แต่ใช้แค่เป็นแนวทางเท่านั้นพอ สิ่งสำคัญคือการสื่อสิ่งที่เราต้องการสื่อครับ ข้างล่างเป็นตัวอย่างที่ใช้ข้อความน้อย ๆ เพราะแค่รูปก็สื่อในสิ่งที่ต้องการสื่อแล้วครับ
3. อย่าซ่อนข้อความหลังรูป profile อันนี้เป็น common sense เลย ใครดีไชน์รูป Cover แล้วพลาดตรงนี้ ถึอว่าแย่มากๆๆๆๆ
4. จุดเด่นควรอยู่ทางด้านขวา ความหมายก็คือ สิ่งที่เราต้องการให้คนดูหรืออ่าน จะต้องอยู่ทางด้านขวา และต้องทำให้เด่นด้วยครับ เหตุผลเพราะด้านซ้ายมันมีรูป profile ไงครับ ที่ว่างเลยเหลือด้านขวา
5. ทำรูป profile ให้เป็นหนึ่งเดียวกับรูป Cover ข้อนี้เอาไว้แก้ปัญหาที่ว่า รูป profile แย่งความเด่นของสิ่งที่เราต้องการจะสื่อทางด้านขวาครับ เพราะธรรมชาติของคนนั้นจะอ่านทางซ้ายก่อน ถ้ารูป profile เด่นเกิน อาจจะทำให้คนไม่อ่านหรือดู สิ่งที่เราต้องการจะสื่อทางด้านขวา ครับ ส่วนทำยังไงก็ดูตัวอย่างด้านล่างครับ
6. ทำการยึดโพส (pin post) เด็ด ๆ ใต้รูป Cover ข้อนี้ไม่เกี่ยวกับการดีไชน์ Cover แต่เป็นการใช้ประโยชน์จากรูป Cover ในการดึงความสนใจมาสู่สิ่งที่เราต้องการสื่อครับ ซึ่งจะสอดคล้องกับพฤติกรรมการอ่านที่คนเราจะอ่านจากซ้ายไปขวา และจากบนลงล่าง ดังนั้นถ้าเขาดูรูป Cover เสร็จปุ๊ป เขาจะมาอ่านโพสแรกอย่างแน่นอนครับ ดังนั้นโพสแรกใต้รูป Cover สำคัญมากครับ
7. สร้างจุดสนใจเพื่อดึงดูดให้เห็นปุ่มทางขวา การทำแบบนี้จะทำให้เพิ่มโอกาสการกด Like หรือ Follow มากขึ้นครับ
ทั้ง 7 ข้อเป็นพื้นฐานในการดีไชน์รูป Cover ของ Facebook Page นะครับ ถ้าทำตามนี้ก็จะได้ Facebook page ที่ดูดีครับ แต่ก็ขอเตือนให้ใช้อย่างรอบคอบด้วย เพราะสิ่งสำคัญในการดีไชน์ ไม่ใช่ความสวยงาม หรือดูดีเท่านั้น สิ่งที่สำคัญคือ คนดูหรือคนอ่าน ต้องเข้าใจในสิ่งที่เราสื่อครับ บทความนี้ขอจบเพียงเท่านี้ครับ เจอกันใหม่เมื่อผมมีอารมณ์เขียนอีก………..;)
ที่มาของเนื้อหาและตัวอย่าง: Hubspot.com